เทศกาลมหาศิวะราตรี ณ จักรพรรดิเทวาลัย ค่ำคืนแห่งการบูชาขอพร “มหาศิวะเทพ” ผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาล ด้วยแรงปรารถนาจากบุตรธิดา เหล่าผู้ศรัทธาในองค์ท่าน

          เมื่ออดีตตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ พระศิวะได้รับการนับถือจากชาวอารยัน ในฐานะเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่สูงสุด และเป็นใหญ่ที่สุด เท่าคือเทพแห่งการทำลายล้าง พระศิวะเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง ทรงเป็นพระบิดาขององค์พระพิฆเนศ และเป็นพระสวามีของพระแม่อุมาเทวีที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ท่านทรงประทานพรให้แก่ผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง จึงต้องหมั่นทำความดียึดมั่นในศีลธรรม หากประพฤติดี ปฏิบัติดีจะประสบความสำเร็จสมหวัง หากประพฤติชั่วพระศิวะจะทำลายทันที แต่จะเป็นการทำลายสิ่งไม่ดีเพื่อสิ่งใหม่ที่ดีกว่า

          ปี พ.ศ.2567 จักรพรรดิเทวาลัย จัดเทศกาลมหาศิวะราตรี เพื่อเป็นการบูชา และขอพรจากองค์พระศิวะ เพราะท่านคือหนึ่งในสามองค์เทพผู้สร้างจักรวาลนี้ขึ้น ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดนั้นคือท่านที่สั่งจองบูชาองค์พระพิฆเนศ ปางเศรษฐีสยาม ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในสยาม ซึ่งพิธีจะเริ่มตั้งแต่ เวลา 18.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การบูชา เพื่อขอพรจากองค์พระศิวะมากที่สุด ภายในพิธีทุกคนร่วมกันแต่งกายด้วยชุดสีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ ความสะอาด และความศรัทธาที่แรงกล้า 

          สำหรับประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระศิวะเป็นที่รับรู้กันดีในชื่อของ “พระอิศวร” ถือเป็นเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่สูงสุด ปรากฏหลักฐานว่าการหล่อพระเทวรูปของพระศิวะ รวมถึงพระนามกษัตริย์หลายพระองค์ มีความเกี่ยวข้องกับคติการนับถือพระศิวะ โดยเฉพาะพระนามของสมเด็จพระเอกาทศรฺทรอิศวร บรมนารถบพิตร ซึ่งหมายถึงพระนามของพระอิศวรนั่นเอง

มหาศิวราตรี

ครั้งแรกกับการจัดเทศกาลมหาศิวะราตรี ที่มีผู้ร่วมงานมากกว่า 300 คน ณ จักรพรรดิเทวาลัย

          สำหรับพิธีมหาศิวะราตรี ปี 2567 ณ จักรพรรดิเทวาลัย มีองค์ประทานคือปางอรรธนารีศวร ครั้งหนึ่งจะเป็นชายและอีกครึ่งเป็นหญิง เป็นรวมกันของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวี ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งที่จะเริ่มสร้างจักรวาลขึ้นมา พระพรหมสร้างเพศชายขึ้นมาเพียงเพศเดียว เมื่อรู้ว่าการมีเพศเดียวนั้น มนุษย์ไม่สามารถขยายเผ่าพันธุ์ได้ นั้นหมายความว่าโลกก็จะไม่เกิดขึ้นอีกด้วย พระพรหมจึงบวงสรวงขอให้พระศิวะเสด็จลงมา เพื่อแนะแนวทางแก้ปัญหา พระศิวะท่านเป็นองค์เทพผู้ที่เปี่ยมด้วยปัญญา และการมาของท่านนั้นไม่ต้องการที่จะใช้คำพูด จึงเสด็จมาในปางอรรธนารีศวร พระพรหมก็เข้าใจแจ่มแจ้งในกำลังเสริมของเพศ นำมาซึ่งความสมบูรณ์และการกำเนิดใหม่ของชีวิต

          คำว่า “อรรธนารีศวร” เป็นสามคำที่มารวมกัน อรร แปลว่า ครึ่ง นารี แปลว่า หญิง อิศวร แปลว่า พระผู้เป็นเจ้า เมื่อรวมกันจึงหมายถึง เทพเจ้าที่เป็นสตรีครึ่งหนึ่งนั้นเอง ฉะนั้น ผู้ที่ได้บูชาปางดังกล่าว เสมือนได้รับความรักความเมตตาจากพระองค์ ในฐานะบุตรของท่าน ทั้งยังหมายถึงการเริ่มต้นสิ่งดี สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

          เริ่มเข้าสู่พิธีทุกคนได้รับการเจิมหน้าผากจากพราหมณ์Mohan เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้รับถาดอารตีกันคนละถาด ซึ่งมีทีมงานเตรียมไว้ให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

          การเจิมหน้าผากในครั้งนี้แตกต่างจากทุกพิธีที่ผ่านมา เพราะจะต้องเจิมแบบองค์มหาเทพ คือมีผงขี้เถ้าและผงกุมกุม เมื่อสมัยก่อนจะใช้ผงขี้เถ้าจากการเผาศพ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้เราสื่อสารกับองค์เทพได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทุกอย่างจึงต้องเปลี่ยนตาม   

          การจัดงานทุกพิธีหากขาดการบูชาพระพิฆเนศ งานนั้นจะไม่ส่งผลสำเร็จใดๆ เพราะพระองค์คือปฐมเทพ ก่อนเริ่มงานจึงต้องมีการอัญเชิญองค์พระพิฆเนศเข้าสู่พิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากจุดธูปเทียนสักการะองค์พระพิฆเนศเสร็จเรียบร้อย อาจารย์เอและท่านพราหมณ์นำทุกคนเข้าสู่สมาธิ เพื่อเตรียมจิตก่อนเข้าพิธี เพื่อให้จิตที่บริสุทธิ์พร้อมรับพรอันประเสริฐจากพระศิวเทพ

          สำหรับจักรพรรดิเทวาลัย ถือเป็นครั้งแรกที่จัดพิธีตอนกลางคืน ทำให้บรรยากาศยิ่งดูเข้มขลังมากขึ้น โดยผู้มาร่วมงานเป็นลูกศิษย์ที่ได้จองบูชาองค์พระพิฆเนศ ปางเศรษฐีสยาม เนื่องจากพระองค์เป็นบุตรของพระศิวะ เพื่อให้ทุกคนได้รับพรอันประเสริฐครบสมบูรณ์จึงต้องมาร่วมพิธีในวันนี้

          หลังจากที่อาจารย์เอ ใช้นิ้วโป้งประทับที่หน้าอกของพระศิวเทพ หรือเรียกว่า “การสถาปนาองค์พระศิวะ” นั่งเอง จากนั้นเข้าสู่พิธีสรงสนานด้วยน้ำปัจอมฤต ซึ่งถือเป็นนำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 ตามความเชื่อทางฮินดู ได้แก่ นมสด โยเกิร์ต น้ำคงคา เนยกีและน้ำผึ้ง ความพิเศษของพิธีกรรมในครั้งนี้ทุกคนที่มาร่วมพิธี ได้มีโอกาสสรงศิวลึงค์ด้วยตนเองเพื่อขอพรจากพระศิวะ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ชาวฮินดูให้ความเคารพเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ เชื่อว่านี้คืออำนาจแห่งการสร้างสรรค์ เป็นปัจจัยสำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ต่อพื้นแผ่นดินโลก และพืชพันธุ์ธัญญาหารในโลกอีกด้วย

          หลังจากที่องค์พระศิวะ ปางอรธนารีศวร แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์เอรับหน้าที่เป็นผู้เจิมหน้าผากพระองค์ท่านด้วยผงวิภูติ พร้อมกับข้าวสารบริสุทธิ์ จากนั้นเป็นพิธีสวดสรรเสริญทั้ง 108 พระนามขององค์ท่าน พร้อมร่วมกันถวายเครื่องสักการะ อาทิ ผลไม้มงคล 9 อย่าง ขนมบัฟฟินที่องค์พระศิวะทรงโปรดปรานมากที่สุด

          ในช่วง “พิธีโฮมมัม” เป็นหนึ่งในพิธีบูชาพระเป็นเจ้าทางศาสนาฮินดู โดยพราหมณ์จะนำสิ่งของเครื่องบูชาต่างๆ ลงไปเผาในกองไฟที่ลุกโชน ซึ่งถือเป็นการถวายเครื่องบูชาผ่านทางพระอัคนี (ไฟ) ไปสู่พระศิวะ เป็นไฟแห่งเทวะเพื่อให้ไฟเหล่านี้ เผาผลาญสิ่งไม่ดีออกไปจากบุตรผู้ศรัทธาแด่พระองค์ท่าน ในช่วงที่ไฟกำลังลุกโชนนั้น หมายถึง องค์พระศิวะได้เสด็จลงมาแล้ว สำหรับการถวายอัคนีเทพจะต้องใช้นิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนางเพื่อหยิบสิ่งของ ซึ่งการถวายจะต้องหงายมือขึ้นแล้วปล่อยสิ่งของลงสู่ปล่องไฟ ซึ่งทุกครั้งที่ปล่อยลงสู่ปล่องไฟทุกคนจะต้องกล่าวว่า “สะวาหะ” พร้อมกัน จากนั้นเป็นการเดินรอบกองไฟตามเข็มนาฬิกา 3 รอบเป็นอันเสร็จพิธีในการบูชาองค์พระศิวเทพ เทพแห่งการทำลายล้าง นั้นหมายถึงสิ่งเลวร้ายในชีวิตจะมลายหายไป พร้อมนำสิ่งใหม่ที่ดีกว่ามาทดแทน

          สุดท้ายนี้ ขอให้ไฟแห่งเทวะจงเผาผลาญสิ่งไม่ดี เผาผลาญอุปสรรค เผาผลาญคนร้าย โรคร้าย เหตุการณ์ร้ายๆ ออกจากชีวิตทุกคน เพื่อให้ชีวิตของเราทุกคน ทุกพื้นที่ ทุกวินาที มีแต่ความงอกเงยงอกงาม อุดมสมบูรณ์ตลอดไป “โอม นะมะศิวายะ” 

ติดตามข่าวสารและร่วมพูดคุยกับเราได้ที่